อดีต ปัจจุบัน อนาคต
ภูเก็ต จังหวัดเดียวบนแผนที่ประเทศไทยซึ่งเป็นเกาะทางแถบทะเลอันดามัน ในอดีตเคยขึ้นชื่อเรื่องการทำเหมืองแร่เป็นอย่างมากก่อนกลายมาเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมในปัจจุบัน เชื่อว่าประวัติความเป็นมาของเมืองนี้มีมาอย่างยาวนาน บางคนอาจทราบดีอยู่แล้วว่า เดิมที ภูเก็ต เรียกว่า เกาะถลาง ซึ่งก่อนหน้านั้นบริเวณพื้นที่ตรงนี้เป็นที่รู้จักกันในนามของ อุจังซีลัง อุจองซีลัง จังซีลัง จังซีลอน มาก่อนโดยมีความหมายว่า เกาะที่ถูกตัดขาด
เป็นธรรมดาของบรรดาเมืองทั้งหลายไม่ว่าที่ใดก็ตามย่อมมีมนุษย์อาศัยอยู่ตามช่วงเวลาที่ต่างกัน ภูเก็ตก็เช่นกัน นักประวัติศาสตร์ได้ขุดพบเครื่องมือหินและขวานหินอันเป็นหลักฐานทางโบราณคดีที่บริเวณบ้านกมลา อ.กะทู้ สันนิษฐานได้ว่าบริเวณนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่มาไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีแล้ว
เมืองถลางปรากฏหลักฐานแน่ชัดในสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนคำว่า ”ถลาง” เป็นภาษามลายู แปลว่า หมู่บ้านเล็กๆ, นายหน้า ความหมายแรกนั้นใช้สำหรับเรียกชื่อหมู่บ้านเช่น ถลางบางคลี ถลางบ้านดอน ถลางบางโรง ส่วนความหมายที่สองตรงกับหน้าที่ของเจ้าเมืองนี้คือ เป็นตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัวในการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ ดังในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ พ.ศ. 2253 ทรงแต่งตั้งจอมเฒ่าหรือบรรดาศักดิ์พระสุรินทราชาหรือพระยาสุรินทราชา จางวางกรมคชบาลฝ่ายซ้ายไปเป็นผู้สำเร็จราชการ สมัยนั้นมีการส่งออกช้าง จอมเฒ่าเลือกที่บริเวณถลางบางคลีเป็นที่ตั้งค่าย
พ.ศ. 2275 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระสวรรคต เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระราชโอรสและพระอนุชาคือกรมพระราชวังบวรฯ สุดท้ายกรมพระราชวังบวรฯเป็นฝ่ายได้ขึ้นครองราชย์คือพระเจ้าอยู่หัวพระบรมโกศ ด้วยเหตุที่จอมเฒ่านั้นเป็นพี่ชายของจอมร้างผู้ซึ่งมีความดีความชอบอย่างมากจึงไม่ถูกประหารชีวิต เพราะตามปกติเมื่อมีการเปลี่ยนแผ่นดินด้วยการนองเลือดขุนนางผู้อยู่ในรัชกาลก่อนก็ต้องถูกประหารไปด้วย
ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศนี้ จอมร้างได้ไปเป็นผู้สำเร็จราชการหัวเมืองชายทะเลตะวันตกและได้เลือกถลางบ้านตะเคียนเป็นศูนย์กลางการปกครอง ดังนั้นถลางบางคลีที่เคยเป็นศูนย์กลางอยู่บนแผ่นดินใหญ่จึงย้ายมาที่นั่น และจังซีลอนก็ถูกเรียกเป็นถลางนับแต่นั้นมา
อาจกล่าวได้ว่าเมืองถลางถือกำเนิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาและมีชนชั้นปกครองซึ่งมิได้เป็นคนท้องถิ่น แต่คนเหล่านั้นและลูกหลานก็ได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่แผ่นดินเรื่อยมาและสามารถดำรงความเป็นเมืองมาได้อย่างยาวนานก่อนที่ถลางจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับภูเก็ต ดังเช่นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ต้นรัชกาลที่ 1 พม่าได้บุกเข้าตีถลาง ความวุ่นวายภายในระหว่างส่วนกลางกับเมืองถลางและขณะนั้นสามีของท่านผู้หญิงจันหญิงจันซึ่งเป็นเจ้าเมืองได้ถึงแก่กรรมแล้ว ท่านผู้หญิงจันจึงได้รวบรวมพลเมืองผู้รักชาติทั้งฝ่ายข้างมารดาคือวันหม่าเรี้ยซึ่งเป็นมุสลิม และฝ่ายข้างบิดาคือจอมร้างอดีตเจ้าเมืองผู้สร้างเมืองถลางเข้าต่อสู้กับพม่าจนได้รับชัยชนะ
ท่านผู้หญิงจันเป็นบุตรสาวคนโตของจอมร้างกับวันมาเรี้ยผู้ซึ่งเป็นขุนนางขุนนางผู้สำเร็จราชการหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตกในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศและเจ้าหญิงแห่งเมืองไทรบุรี ในขณะนั้นพลเมืองถลางส่วนใหญ่เป็นชาวไทรบุรี คำว่า “วัน” ในภาษาไทยหมายถึงเจ้าหญิง ส่วนหม่าเรี้ย นั้นก็คือ มาเรียหรือมาเรียในภาษามุสลิมนั่นเอง
ต่อมาผู้สืบเชื้อสายของท่านทั้งสองนี้ก็ได้เป็นเจ้าเมืองถลาง บุตรชายคนโตของคุณหญิงจันกับพระยากลาโหมภักดีภูธร(หม่อมศรีภักดี) สามีคนแรก แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายในบ้านเมืองหลายอย่างแต่สุดท้ายพระเพชรคีรี(เทียน) ก็เป็นที่รู้จักในนามพระยาถลางเทียน ขึ้นเป็นเจ้าเมืองถลางในช่วงหลังเสร็จสิ้นศึกกับพม่าซึ่งมารดาของท่าน คือท่านผู้หญิงจันซึ่งเป็นแม่ทัพในคราวนั้น
เมืองถลางเป็นเมืองที่มีความสำคัญในบรรดาหัวเมืองชายทะเลตะวันตกมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เพราะเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรแร่ดีบุก ทำให้เกิดผลประโยชน์แก่ผู้ติดต่อค้าขายและผู้มีอำนาจในส่วนกลางเรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งเกิดจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญแก่เมืองถลางในปีพ.ศ.2352ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสวรรคต พม่าได้ยกทัพทางเรือเข้าตีเมืองถลางเนื่องด้วยขุนนางผู้ใหญ่หัวเมืองขึ้นไปถวายพระบรมศพ และครั้งนั้นพม่าก็ประสบความสำเร็จหลังจากรอคอยชัยชนะมานานหลายปี ศึกครั้งนั้นทำให้เมืองถลางย้ายไปตั้งที่กราภูกรา(ปัจจุบันคือ บ้านกรุงศรี ต.นบปริง อ.เมือง จ.พังงา) ต่อมาในปี พ.ศ. 2368 จึงย้ายกลับไปอยู่เกาะดังเดิม
ความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างหนึ่งที่เริ่มในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวนั่นคือการชักชวนชาวจีนอพยพเข้าตั้งถิ่นฐานในหัวเมืองปักษ์ใต้เพื่อทดแทนคนพื้นเมืองเดิมที่หนีไปเมื่อครั้งสงคราม และเพื่อดุลกำลังกับชนชั้นปกครองเดิม นอกจากนี้ยังโปรดเกล้าพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางระดับต่างๆแก่พ่อค้าชาวจีนเหล่านั้นด้วย
อันว่าพ่อค้าชาวจีนนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นและยั่งยืนมาจนวันนี้
ชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานและทำการค้าขายแถบชายทะเลฝั่งตะวันตกมาตั้งแต่สมัย กรุงศรีอยุธา ก่อนที่ขุนนางจากรุงศรีอยุธยาจะออกมาจับช้างส่งขายบริษัทอังกฤษอินเดีย ในปีพ.ศ. 2253 เมื่อเกิดเมืองถลางก็ทำให้มีชาวจีนเข้ามามากขึ้นโดยที่พ่อค้าเหล่านั้นเมื่อเข้ามาทำงานมิได้นำภรรยาและลูกมาด้วย แต่มาแต่งงานและมีครอบครัวใหม่อยู่ที่นี่อีก เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับคนพื้นเมือง จึงเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่า “บาบ๋า”
ชาวจีนอพยพมีบทบาทสำคัญในธุรกิจเหมืองแร่ซึ่งกลายเป็นเศรษฐกิจหลักในการหล่อเลี้ยงชุมชนทั้งชนชั้นปกครองและผู้อพยพเข้ามาทำมาหากินบนที่ดินแห่งนี้ ซึ่งศูนย์กลางของเมืองในขณะนั้นก็เคลื่อนย้ายความสำคัญไปตามสายแร่ที่มีอยู่ตามการค้นพบ
เมืองภูเก็จเกิดขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงเนื่องด้วยก่อนหน้านี้เป็นเพียงชุมชนชาวประมงธรรมดาชื่อว่า “ชุมชนบูกิต” จนกระทั่งมีความต้องการแร่ดีบุกในเศรษฐกิจโลกที่แห่งนี้จึงทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และเกิดความเป็นเมืองไปในขณะเดียวกับการมีอยู่ของเมืองถลาง และตามพงศาวดารถลางตั้งแต่ปีพ.ศ. 2328 ถึงพ.ศ. 2384 เมืองภูเก็จมีเจ้าเมืองเพียง 3 คน และในปีพ.ศ. 2438 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองถลางก็ถูกยุบเป็นอำเภอถลางขึ้นกับเมืองภูเก็จ
พัฒนาการของเมืองจากแรกเริ่ม จังซีลอน ถลาง มาเป็นภูเก็จ จนกระทั่งจังหวัดภูเก็ต สะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงโดยผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่อันเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเพื่อเหตุผลทางสังคม เศรษฐกิจรวมถึงวัฒนธรรม เพื่อปกป้องแผ่นดินจนถึงแสวงหาผลประโยชน์จากผืนดินนี้ ทุกเรื่องหลอมรวมให้ภูเก็ตเป็นเมืองสำคัญในระดับภูมิภาค จนถึงระดับประเทศนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
จากวันวานจวบจนวันนี้ที่เกาะเล็กๆได้ต้อนรับผู้คนหลากเชื้อชาติ วัฒนธรรมอันแตกต่างของเขาเหล่านั้นหลอมรวมให้กลายเป็นกลุ่มคนที่ดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบและเคารพซึ่งกันและกัน ความอ่อนน้อมและรู้คุณแผ่นดินของชาวจีนผู้มาเยือนผนวกกับความมีเอกลักษณ์ที่มีน้ำใจของชาวพื้นเมืองได้ก่อให้เกิดทายาทอีกรุ่นหนึ่ง พวกเขาเป็นผลพวงแห่งเศรษฐกิจและสังคมอันรุ่งเรืองของบรรพบุรุษ ทั้งยังสะท้อนความงดงามแห่งการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์
ภูเก็ตในวันนี้ได้เปลี่ยนจากเมืองเหมืองแร่สู่การเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆของประเทศ ทั้งยังทำรายได้สู่ประเทศปีละจำนวนมาก โรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวมากมายในภูเก็ตล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการท่องเที่ยวที่งดงามทั้งธรรมชาติและวัฒนธรรมประเพณีอันเป็นจุดหมายปลายทางของใครหลายคน ยิ่งไปกว่านั้นคือโรงแรมตามหาดต่างๆดูเหมือนจะมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติมาพักเป็นส่วนใหญ่ ด้วยความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวนี้เองภูเก็ตในวันนี้จึงมีสถานภาพเป็นเมืองใหญ่ที่ทันสมัยกระทั่งได้รับเลือกให้เป็นเมืองแรกในการรองรับนโยบายพื้นที่พิเศษในการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิตอลแห่งแรกในประเทศไทยหรือ “ภูเก็ต สมาร์ท ซิตี้” ซึ่งคือการใช้ระบบดิจิตอลเชื่อมการท่องเที่ยว อีกทั้งนโยบายนี้ยังสนับสนุนนวัตกรรมสร้างสรรค์ในอินโนเวชั่นพาร์คอันเป็นสถานที่ส่งเสริมพัฒนานวัตกรรม การเรียนรู้เทคโนโลยี การให้คำปรึกษาธุรกิจในพื้นที่เศรษฐกิจดิจิตอลทั้งในจังหวัดภูเก็ตและในกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
เมืองท่องเที่ยว เมืองดิจิตอล และเมืองแห่งวัฒนธรรม สามคำนี้เป็นโจทย์ที่ท้าทายทั้งคนภูเก็ตและคนส่วนกลางควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่งท่ามกลางการเติบโตอย่างทันสมัยที่ดำเนินเคียงคู่ไปกับการพัฒนา น่าคิดเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับทิศทางของการเปลี่ยนไปว่าใครจะสามารถตระหนักและให้น้ำหนักความสำคัญกับทุกอย่างอย่างเท่ากันได้ เพราะย่อมหมายถึงการดำรงไว้ซึ่งคุณค่าแห่งวัฒนธรรมในขณะที่โลกทุนนิยมกำลังยืนเผชิญหน้ากับเทคโนโลยีบนปลายนิ้วท่ามกลางสิ่งที่กำลังเปลี่ยนผ่านอยู่ทุกวัน
คงมีเพียงคนที่เข้าใจทั้งอัตลักษณ์และความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงเท่านั้น ที่สามารถยืนอยู่ได้อย่างสง่างาม…โดยไม่หลงลืมความเป็นตัวตน
หนังสืออ้างอิง
ปัญญา ศรีนาค ถลาง ภูเก็ต และบ้านมืองฝั่งทะเลตะวันตก: สำนักพิมพ์มติชน
ภูเก็ต: สำนักพิมพ์สารคดี
เรียบเรียงจากบทความ ภูเก็ต: เธอจะอยู่ในใจเสมอ ตอน จากจังซีลอนสู่ภูเก็ต และ เหตุเกิดที่ ถ.เยาวราช…ความเปลี่ยนแปลงกับสิ่งที่คงไว้ในตัวตน (ตีพิมพ์ในนิตยสารสกุลไทย ฉ….)
โดย มีน พงษ์ไพบูลย์